Last updated: 9 ต.ค. 2568 | 237 จำนวนผู้เข้าชม |
กล้อง Total Station คือเครื่องมือสำรวจที่ปฏิวัติวงการวิศวกรรม การก่อสร้าง และงานรังวัดแผนที่ ด้วยความสามารถในการวัดมุมและระยะทางได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว หัวใจสำคัญของการทำงานคือเทคโนโลยีการวัดระยะทางด้วยคลื่นแสง (EDM - Electronic Distance Measurement) ซึ่งสามารถทำงานได้ 2 โหมดหลัก คือ การวัดโดยใช้เป้าปริซึม (Prism Mode) และ การวัดแบบไร้ปริซึม (Reflectorless/Non-Prism Mode) บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงหลักการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย และความเหมาะสมในการใช้งานของทั้งสองวิธี
Total Station เป็นอุปกรณ์สำรวจเชิงแสงที่รวมเอาความสามารถของกล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ (Theodolite) และเครื่องวัดระยะทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDM) เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมด้วยหน่วยประมวลผลข้อมูล (Microprocessor) ทำให้สามารถวัดค่าพิกัด 3 มิติ (X, Y, Z) ของจุดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและบันทึกข้อมูลได้ในตัว
หลักการพื้นฐานของ EDM คือการส่งคลื่นแสง (อินฟราเรดหรือเลเซอร์) ออกจากตัวกล้องไปยังเป้าหมาย เมื่อคลื่นแสงกระทบเป้าหมายและสะท้อนกลับมายังตัวรับสัญญาณที่กล้อง เครื่องจะคำนวณระยะทางโดยการวัดความต่างเฟสของคลื่นที่ส่งออกไปและที่สะท้อนกลับมา ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำสูงมาก
นี่คือโหมดการทำงานมาตรฐานและดั้งเดิมของ Total Station ซึ่งอาศัยอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า "เป้าปริซึม" (Prism Target) ซึ่งติดตั้งอยู่บนโพล (Pole) โดยมีผู้ช่วยงาน (Rod man) เป็นคนถือไปยังจุดที่ต้องการวัด
ตัวกล้องจะส่งคลื่นแสงอินฟราเรด (ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ไปยังเป้าปริซึม คุณสมบัติพิเศษของปริซึม (Corner Cube Reflector) คือสามารถสะท้อนคลื่นแสงกลับมายังแหล่งกำเนิดได้แบบตรงๆ และสมบูรณ์เกือบ 100% ทำให้ได้สัญญาณที่เข้มและชัดเจน ส่งผลให้การวัดมีความแม่นยำและวัดได้ในระยะไกล
โหมดนี้เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานอย่างมาก โดยกล้องสามารถยิงเลเซอร์ไปยังพื้นผิวของวัตถุใดๆ ก็ได้โดยตรง เช่น ผนังอาคาร, เสาไฟฟ้า, พื้นดิน, ก้อนหิน เพื่อวัดระยะทางโดยไม่ต้องใช้เป้าปริซึม
กล้องจะยิงลำแสงเลเซอร์ที่มองเห็นได้ (ส่วนใหญ่เป็นสีแดง) ไปยังเป้าหมายโดยตรง แสงเลเซอร์จะกระทบพื้นผิวและเกิดการสะท้อนแบบกระเจิง (Diffuse Reflection) ตัวรับสัญญาณที่มีความไวสูงในกล้องจะจับสัญญาณแสงที่สะท้อนกลับมาเพียงเล็กน้อย แล้วคำนวณเป็นระยะทาง
| คุณสมบัติ | การวัดด้วยปริซึม (Prism Mode) | การวัดแบบไร้ปริซึม (Reflectorless) |
|---|---|---|
| ความแม่นยำ | สูงมาก (± 1-2 mm) | สูง แต่ต่ำกว่าแบบปริซึม (± 2-5 mm) |
| ระยะทำการ | ไกลมาก (1 - 5 km+) | จำกัด (300m - 1,000m) |
| จำนวนผู้ปฏิบัติงาน | 2 คนขึ้นไป | 1 คนก็เพียงพอ |
| ความเร็ว | ช้ากว่า เพราะต้องเคลื่อนย้ายเป้า | รวดเร็วมาก สำหรับการเก็บรายละเอียด |
| ข้อจำกัด | เข้าถึงจุดอันตราย/สูงชันไม่ได้ | ขึ้นอยู่กับสีและลักษณะของพื้นผิว |
| การใช้งานที่เหมาะสม | งานวางโครงข่าย, งานโครงสร้าง, งานที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด | งานสำรวจภูมิประเทศ, งานเก็บรายละเอียดอาคาร, งานตรวจสอบหน้าผา, งานในพื้นที่อันตราย |
ทั้งการวัดระยะด้วยเป้าปริซึมและแบบไร้ปริซึมต่างก็มีบทบาทสำคัญในงานสำรวจสมัยใหม่ การเลือกใช้โหมดใดขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ความต้องการด้านความแม่นยำ สภาพพื้นที่ และข้อจำกัดด้านเวลาและบุคลากร
Prism Mode ยังคงเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงสุดและระยะทำการที่ไกล ในขณะที่ Reflectorless Mode คือเครื่องมือที่มอบความเร็ว ความสะดวก และความปลอดภัยที่เหนือกว่าสำหรับการเก็บข้อมูลในพื้นที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก ผู้สำรวจที่มีประสิทธิภาพคือผู้ที่เข้าใจข้อดีข้อเสียของทั้งสองโหมดและสามารถเลือกใช้ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพและเสร็จทันตามกำหนด
26 พ.ย. 2568